ทุกวันนี้ต้องบอกว่ารถ EV กับ รถยนต์ไฮบริด กำลังเข้ามาครองตลาดบนท้องถนนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน ๆ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่คนขับและกำลังสนใจจะขับรถประเภทนี้ต้องรู้ก็คือ น้ำหนักของรถที่มีมากกว่าปกติด้วยตัว ‘แบตเตอร์รี่’ ของรถ ซึ่งมีผลมาก ๆ ต่อการเลือกยางที่ใช้ขับบนท้องถนนเพื่อไม่ให้เกิดยางเสื่อมสภาพเร็ว หรือเกิดปัญหายางแตกกลางถนน
ในบทความนี้ SaveTyre จะพาไปรู้จักกับ HL - High Load Wheel นวัตกรรมยางที่มีขึ้นเพื่อรองรับรถยนต์ประเภทนี้โดยเฉพาะ น่าสนใจอย่างไร และทำไมถึงต้องใช้ยางตัวนี้ ไปอ่านพร้อมกัน
ทำความรู้จักยางประเภทใหม่ HL - High Load สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนว่าการเกิดของยางที่เรียกว่า HL (High Load) พัฒนาขึ้นจากยนตกรรมเพื่อซัพพอร์ตให้กับรถไฮบริดและรถ EV เข้ามาช่วยแก้ Pain Point ของรถเหล่านี้ที่ ถึงแม้ว่าจะใช้ยางโครงสร้าง XL ที่รับน้ำหนักได้มากขึ้นกว่ายางโครงสร้างมาตรฐาน SL แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการรองรับน้ำหนักของแบตเตอรี่ที่มีขนาดใหญ่ได้ ทำให้ผู้ผลิตรถต้องลดขนาดแบตเตอรี่ลง ซึ่งส่งผลให้ขับไปได้ไม่นาน ก็จำเป็นที่จะต้องพักเพื่อแวะชาร์จแบตอยู่หลายครั้ง โดยผู้ผลิตรถต้องการให้ยางรับน้ำหนักได้มากขึ้น เพื่อให้สามารถใช้แบตเตอรี่มีขนาดใหญ่ขึ้นส่งผลต่อระยะทางการขับขี่ที่มากขึ้น มีแนวทางแก้ไขคือ
- การเพิ่มขนาดยางให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับน้ำหนักแบตเตอรี่ที่มากขึ้น แต่ยางที่มีขนาดใหญ่มาก นอกจากจะกินพื้นที่ของรถมากขึ้นแล้ว ยิ่งยางกว้างขึ้นเท่าไหร่ แรงต้านอากาศพลศาสตร์ของยางก็จะยิ่งมากขึ้น ส่งผลให้รถบริโภคน้ำมันหรือไฟฟ้ามากขึ้นตาม ระยะทางการวิ่งก็ลดลงอีก โดยในปัจจุบันนี้ต้องบอกว่ายังไม่มียางแบบ Extra Load (XL) และ Standard Load ที่สามารถรองรับน้ำหนักรถEV ได้ดีพอเลย
- การเพิ่มการรับน้ำหนักให้กับยางขนาดเดิมให้มีการรับน้ำหนักมากขึ้น โดยปรับให้การรับน้ำหนักมากกว่ายางโครงสร้างXL และนั่นเองก็คือที่มาของการพัฒนายางโครงสร้าง HL (High Load)
เพราะฉะนั้น จึงทำให้สมาคมอุตสาหกรรมยางรถยนต์แห่งยุโรป ETRTO (European Tyre and Rim Technical Organisation) ได้ออกแบบและกำหนดยางชนิดใหม่ที่จะเข้ามาตอบโจทย์กับสิ่งนี้ได้ดีกว่าในมาตรฐานอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งจะถูกเรียกว่า HL หรือ High Load Capacity Tyre นั่นเอง
ความแตกต่างระหว่างยาง HL (High Load) กับ ยาง XL (Extra Load)
ว่าด้วยสเปกแบบชัดเจนที่ทำให้ยาง HL (High Load) กับ ยาง XL (Extra Load) และยางมาตรฐาน (Standard Load) คือฟังก์ชันการบรรทุกที่สูงกว่าในขณะที่มีดันลมยางเท่ากัน ในมาตรฐาน ขนาด 245/40 R19 เปรียบเทียบกันกับยางทั้ง 3 ชนิด ดังนี้
- SL (Standard Load) สามารถรับน้ำหนักได้สูงสุด 670 กก. (ดัชนีการรับน้ำหนัก 94)
- XL (Extra Load) สามารถรับน้ำหนักได้สูงสุด 750 กก. (ดัชนีการบรรทุก 98)
- HL (High Load) สามารถรับน้ำหนักได้สูงสุด 825 กก. (ดัชนีการบรรทุก 101)
3 วิธีดูแลรักษายางรถ Ev
รู้จักยางชนิดใหม่ที่จะเข้ามาแก้ Pain Point เหล่าคนขับรถ EV / ไฮบริด / SUV ไปแล้ว เรามาดูวิธีการดูแลรักษยางรถประเภทเหล่านี้ให้ถูกต้องและสามารถอยู่ไปนาน ๆ โดยไม่เสื่อมสภาพซะก่อนกันหน่อยดีกว่า
ตรวจสอบลมยางเป็นประจำ : ไม่ต่างกันกับยางรถปกติ ยางรถ EV เองก็จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบลมยางอย่างสม่ำเสมอ โดยที่สามารถดูจากคู่มือประจำรถ ขอบประตูฝั่งคนขับ หรือบริเวณฝาครอบถังน้ำมัน แต่ปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 32-50 psi ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะขึ้นอยู่กับรุ่นของรถไฟฟ้า แล้วโดยส่วนมากก็จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ประมาณ 2 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร
ตรวจเช็กการสึกหรอ : ในส่วนนี้เราสามารถตรวจสอบสภาพของยางได้ด้วยตาเปล่า มองว่ายางมีการสึกหรอเกิดขึ้นตรงไหนบ้างอย่างสม่ำเสมอ และทันทีที่พบจุดบกพร่องก็ให้นำรถเข้าศูนย์เพื่อดูแลต่อทันที
ตั้งศูนย์ล้อ และถ่วงล้อ : ข้อสำคัญสุดท้ายคือให้ตรวจสอบการตั้งศูนย์ล้อ ถ่วงล้อสำหรับยางรถไฟฟ้า (EV) โดยศูนย์ที่มีช่างผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้งานรถทุกครั้งที่เปลี่ยนยางใหม่
และถ้าหากว่ารถ EV ของคุณถูกติดตั้งด้วยยางรถโครงสร้าง HL โดยผู้ผลิตรถยนต์มาก่อน ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนยางใหม่ที่เป็นโครงสร้าง HL เท่านั้น ! เหตุผลง่าย ๆ ไม่ต่างจากเวลาที่เราเช็คสเปกสมรรถนะของยางรถยนต์เพื่อใช้ให้ถูกต้องกับไซส์รถของตัวเอง ยาง High Load Tyres ก็เช่นกัน การที่รถคันหนึ่งมีเหตุผลที่จะต้องใช้ยาง HL นั่นก็เพราะว่านี่คือนวัตกรรมใหม่ที่ถูกออกแบบมานอกจากรองรับน้ำหนักรถที่มากขึ้นของแบตเตอรี่แล้ว ก็ยังมีเรื่องของการรองรับเบรกของรถ EV ซึ่งแปลงแรงเสียดทานจากเบรกกลับเป็นพลังงานไฟฟ้า การสร้างความต้านทานการหมุนที่ต่ำลง ในขณะที่ก็ลดเสียงรบกวนขณะขับขี่ให้เงียบที่สุด เรียกว่าเป็นรถที่ Friendly ต่อทั้งคนขับขี่ในเรื่องความปลอดภัย และยังใส่ใจผู้คนอีกด้วยล่ะ